การระบาดของ COVID-19 ครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นทั่วโลก กลายเป็นสาเหตุสำคัญสำหรับการปรับตัวอุตสาหกรรมเชิงพาณิชย์ และในขณะนี้เราก็เริ่มเห็นผลของการหยุดทำงานและหยุดเพื่อกักกันเชื้อเป็นเวลาหลายเดือน แม้ว่ามาตรการเหล่านี้จะมีความจำเป็นเพื่อให้ทุกคนปลอดภัยและยังคงมีสุขภาพที่ดี แต่ก็ส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานในภาพรวมทั่วโลกไปด้วย นอกจากนี้ยังมีปัจจัยอื่นที่อาจส่งผลกระทบต่อการทำงานที่คล่องตัวของระบบอุปทานทั่วโลก และนั่นก็คือการทำงานกับระบบ ERP ที่ไม่ถูกต้อง บรรดาผู้ผลิตที่ได้รับผลกระทบทั้งจาก COVID-19 และการใช้ระบบ ERP ที่ผิดๆ ได้เรียนรู้แล้วว่าการทำงานกับระบบ ERP ที่ไม่ถูกต้องนั้นสามารถทำลายธุรกิจได้เป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่ทุกอย่างไม่เป็นไปตามวิถีปกติของธุรกิจอีกต่อไป

การทำลายห่วงโซ่อุปทานของ COVID-19

ผลกระทบที่หลงเหลือจากการปิดกิจการในช่วง COVID-19 เริ่มที่จะส่งผลกระทบต่อผู้บริโภค ผู้เชี่ยวชาญได้บอกด้วยว่าสถานการณ์จะยิ่งย่ำแย่ลงไปอีก เมื่อการล็อกดาวน์และการกักกันได้สิ้นสุดลงและธุรกิจต่าง ๆ จะกลับมามีกำลังการผลิตแบบเต็มรูปแบบ ความต้องการจะเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก และภาคของการผลิตที่ยังมีงานคงค้างอยู่ อาจจะเกิดปัญหาขึ้นในการปรับเปลี่ยนเพื่อไล่ตามความต้องการของลูกค้าให้ทัน ทำให้ปัญหานั้นได้ลามต่อไปเหมือนโดมิโนตลอดทั้งห่วงโซ่ วัตถุดิบมีไม่พอเนื่องจากการขาดแรงงาน จึงไม่สามารถดำเนินกระบวนการผลิตได้ และผู้บริโภคก็ทำได้แต่รอคอยต่อไป ทั้งหมดนี้กำลังสร้างความโกลาหลให้กับทั้งผู้จัดจำหน่ายและผู้ผลิต เนื่องจากจำนวนพนักงานที่ไม่เพียงพอบริษัทจึงต้องดิ้นรนเพื่อเติมเต็มจำนวนตามที่ต้องการได้ วิธีแก้ปัญหาที่หลายประเทศนิยมใช้กันคือการเพิ่มกำลังการผลิตภายในประเทศ แต่ก็ส่งผลให้ห่วงโซ่อุปทานได้สั้นลงไปด้วย ซึ่งแนวโน้มนี้ได้ถูกเรียกว่าชาตินิยมทางเศรษฐกิจ การปิดกิจการได้เผยให้เห็นช่องโหว่ที่เกิดขึ้นในห่วงโซ่อุปทานทั่วโลก สิ่งที่แย่กว่านั้นคือนี่อาจไม่ใช่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว เมื่อไหร่ก็ตามที่เกิดภัยพิบัติครั้งใหญ่หรือภาวะหยุดชะงักที่ใดก็ได้บนโลก เช่น ภัยธรรมชาติ สงคราม หรือโรคระบาด ห่วงโซ่อุปทานทั่วโลกก็จะได้รับผลกระทบอยู่เรื่อยไป การปิดตัว การขาดแคลน ข้อจำกัดทางการค้าเนื่องจากการกักกันโรค และสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีนที่กำลังดำเนินอยู่ กดดันให้หลายประเทศต้องพิจารณาการพึ่งพาเสบียงจากทั่วโลกอีกครั้ง 

พื้นที่ของความล่าช้า

พื้นที่หลักของความล่าช้าที่เกิดขึ้นมักจะเกี่ยวข้องกับ การผลิตวัตถุดิบ กระบวนการในการผลิต และการขนส่ง สิ่งเหล่านี้อาจสร้างความท้าทายให้กับผู้จัดการโรงงานทั่วโลก ในบางครั้ง เจ้าของธุรกิจจะใช้ระบบ ERP ที่แตกต่างกันในประเทศต่างๆ เพื่อตอบสนองต่อความต้องการที่แตกต่างกันออกไป จากข้อจำกัดและความรู้ความเข้าใจของพนักงาน เนื่องจากระบบเดิมหรือเหตุผลทางด้านการเงิน การขาดระบบ ERP ที่เป็นหนึ่งเดียว อาจส่งผลให้เกิดพื้นที่แห่งความล่าช้าขึ้นทั้งห่วงโซ่อุปทานของทั้งบริษัท ด้วยระบบอัตโนมัติและระบบ ERP แบบบูรณาการ เช่น SAP S/4HANA ผู้จัดการจะสามารถตรวจสอบห่วงโซ่อุปทานได้จากทุกที่และสามารถติดตามได้ทั้งความคืบหน้าและความล่าช้า การทำงานแบบอัตโนมัติของระบบเหล่านี้จะสามารถช่วยให้เกิดความล่าช้าน้อยลงและทำให้มีการวางแผนล่วงหน้าที่ดียิ่งขึ้น

การขาดการวางแผนฉุกเฉินที่เหมาะสม

ข้อจำกัดบางอย่างของระบบ ERP นั้นถือเป็นเรื่องปกติ แต่สิ่งเหล่านั้นก็สามารถหลีกเลี่ยงได้เช่นกัน การมีความสัมพันธ์ที่ดีกับพันธมิตรจะช่วยให้องค์กรสามารถรับมือกับความซับซ้อนที่เกิดขึ้นมากเกินไปได้ เมื่อบริษัทต่าง ๆ ได้มีระบบ ERP ที่ดีที่สุดสำหรับพวกเขาแล้ว งานจะกลายเป็นการเลือกชิ้นส่วนที่เหมาะสมให้มากขึ้น เหมือนกับการสร้างบล็อกต่างๆ ภายในระบบ ด้วยสิ่งนี้ พวกเขาจะมั่นใจมากขึ้นว่าจะสามารถทำการผสานระบบเข้าด้วยกันเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานของห่วงโซ่อุปทาน องค์กรต่าง ๆ ควรจะต้องคาดหวังว่าอาจเกิดการหยุดชะงักในด้านการดำเนินงานใดๆ ซึ่งเป็นการดีกว่าที่จะเตรียมพร้อมในการรับมือกับภัยพิบัติ ถึงแม้ว่าจะไม่เคยเกิดขึ้น แต่ก็ยังดีกว่าที่ปล่อยให้เกิดขึ้นโดยไม่มีการเตรียมรับมืออะไรเลย การทำงานร่วมกับพันธมิตรทางระบบ ERP ของคุณในการวางแผนฉุกเฉิน จะทำให้คุณสามารถมองไปถึงอนาคตร่วมกัน และคาดคะเนถึงสิ่งที่อาจเกิดขึ้นในสถานการณ์ที่แตกต่างกันออกไป เพื่อทำให้แน่ใจว่าองค์กรจะมีมาตรการต่างๆ เพื่อบรรเทาผลกระทบที่จะเกิดขึ้นไว้รองรับแล้ว อย่างไรก็ดี ในระหว่างเกิดภัยพิบัตินั้น ลูกค้าก็จะต้องพึ่งพาพันธมิตรมากที่สุดอยู่ดี ระบบ ERP และพันธมิตรทางระบบ ERP มีให้เลือกมากมาย การเลือกระบบ ERP ที่ดีที่สุดควบคู่กับการได้พันธมิตรด้านการใช้งาน ERP ที่ยอดเยี่ยมอย่าง be one solutions ก็เป็นหนทางที่ดีที่สุดในการเตรียมพร้อมรับมือต่อความไม่แน่นอนในอนาคต

อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับ be one solutions